ข้อสังเกต การใช้อำนาจของพระมหากษัตริย์สมัยอยุธยา
ในสมัยอยุธยานั้นแม้จะมีแนวโน้มให้ถือว่าพระเจ้าแผ่นดินเป็นเสมือนเทพเจ้า แต่มิได้หมายความว่า พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์จะเป็นสิ่งสูงสุดหรือเป็นไปตามทฤษฎี The King can do no wrong ไม่ แต่ปรัชญากฎหมายไทยสมัยอยุธยาที่ปรากฏในกฎมณเฑียรบาลในบทที่ 106 และ 113 อันมีสาระสำคัญที่มีลักษณะยับยั้งขัดกับการใช้อำนาจล้นพ้นของพระมหากษัตริย์
บทที่ 106 กล่าวว่า “อนึ่ง พระเจ้าอยู่หัวดำรัสด้วยกิจราชการคดีถ้อยความประการใดๆต้องกฎหมายประเวณีเป็นยุติธรรมแล้วให้ทำตาม ถ้ามิชอบจงอาจเพ็ดทัดทาน 1, 2 , 3 ครั้ง ถ้ามิฟังให้งดไว้อย่าพึ่งสั่งไปให้ทูลในที่รโหฐาน ถ้ามิฟังจึงให้กระทำตามพระอัยการดังนี้ ท่านว่าผู้นั้นละเมิดพระราชอาญา”
บทที่ 113 กล่าวว่า “อนึ่ง ทรงพระโกรธแก่ผู้ใด และตรัสเรียกพระแสงอย่าให้เจ้าพนักงานยื่น ถ้ายื่นให้โทษถึงตาย “
จะเห็นได้ว่า ในบทที่ 106 เป็นการยืนยันหลักการทางทฤษฎี ถือเอาธรรมหรือกฎหมายเป็นใหญ่ ดังนั้น การราชการของพระมหากษัตริย์ต้องเป็นไปโดยชอบธรรมจากบทกฎหมาย ซึ่งม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ยกย่องให้เป็น “เพชรแท้น้ำหนึ่งของกฎหมายอยุธยา” เพราะเป็นการแสดงให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ กระทำผิดได้ ไม่ได้ถือตามหลักตะวันตกที่กล่าวว่า พระมหากษัตริย์ทรงทำผิดไม่เป็นหรือทำผิดไม่ได้ (The King can do no wrong)
เมื่อพิจารณาสรุปปรัชญากฎหมายไทยสมัยอยุธยา แม้จะสะท้อนภาพแห่งจุดหมายทางอุดมคติของกฎหมาย ซึ่งหยั่งรากลึกอยู่ในหลักธรรมทางพุทธศาสนาที่สะอาดบริสุทธิ์หากการดำรงอยู่ในบริบททางเศรษฐกิจและสังคมการเมืองที่ล้าหลังและความเป็นอำนาจนิยมอย่างสูง ส่งผลให้ปรัชญาความคิดนี้มีลักษณะครึ่งตายครึ่งเป็น มีลักษณะเป็นเรื่อง “แบบพิธีภายนอก” มากกว่าจะเป็นตัวเนื้อหาจริงๆ และดำเนินบทบาทอันสำคัญซึ่งไม่แตกต่างนักจากพุทธศาสนา อันเป็นเสมือนฐานรากของปรัชญาในแง่ที่บ่อยครั้งมักจะเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการใช้อำนาจรัฐพร้อมๆกันในตัว กับการเป็นเครื่องมือเพื่อการควบคุมจิตสำนึกของคนทั่วไป
ขณะเดียวกันทั้งศาสนาฮินดูหรือความเชื่อเกี่ยวกับผีไสยศาสตร์ต่างๆ ก็มีบทบาทหนุนรับผสมกลมกลืนกันไปในทางปรัชญากฎหมายไทย และประสานร่วมอยู่ใน กระแสแห่งอำนาจนิยม โดยเฉพาะการต่อสู้ช่วงชิงอำนาจรัฐหรือการรัฐประหารในหมู่ชนชั้นปกครองด้วยกันเกิดขึ้นบ่อยครั้งและใช้ความรุนแรงทำลายล้างชีวิตกันมากเพียงใด การครอบงำของกระแสอำนาจนิยมก็ยังบดบังกระแสธรรมนิยมอยู่มาก โดยสภาพความเป็นจริงเจตจำนงของรัฏฐาธิปัตย์ คือ พระมหากษัตริย์ จึงกลายเป็นแหล่งที่มาของกฎหมายมากกว่าคัมภีร์พระธรรมศาสตร์ หรือหลักธรรมทางศาสนา ส่วนใหญ่แล้วกฎหมายจึงถูกตราขึ้นเป็นเครื่องมืออันมีประสิทธิภาพ เพื่อการธำรงไว้อย่างสภาพในระบบกษัตริย์ ซึ่งมีบรมเดชานุภาพเหนือชีวิต หรือสิทธิเสียงของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน เสียงอุทธรณ์ร้องเรียนต่อการไม่ยึดมั่นในหลักธรรมนิยมทางกฎหมายในทำนอง “ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิศราชธรรม……..” หากมิได้มาจากขุนนางผู้ใหญ่ที่มุ่งกระทำการรัฐประหารแล้ว ก็ไม่แคล้วต้องถูกประณามว่าเป็น พวกกบฏไพร่ที่“คิดอ่านทำการกบฏตั้งตัวว่าเป็นผู้มีบุญ”และเผชิญกับการ“ลงพระราชอาณาแก่อ้ายคิดมิชอบและพรรคพวกทั้งปวงถึงสิ้นชีวิต”ในท้ายที่สุด
ดังนั้น ตัวบทกฎหมายในสมัยอยุธยาย่อมมีทั้งที่ชอบธรรมและไม่ชอบธรรม (อำนาจนิยม) ปะปนกันไป ความจำเป็นในการปกครองโดยใช้ทั้งอำนาจ และเหตุผล (ศีลธรรม) เพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ระบบโดยรวม ย่อมทำให้รัฐต้องยอมรับปรัชญากฎหมายแบบธรรมนิยมควบคู่ไปด้วย ไม่มีรัฐใดที่โง่เขลาพอจะตรากฎหมายที่กดขี่ทารุณ หรือขัดศีลธรรม ประเพณีสังคมไปทั้งหมด กระบวนการสร้างการยอมรับจึงประกอบไปด้วย การกดและการคลายอำนาจการปกครองควบคู่กันไป ทั้งธรรมและอำนาจจึงมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันในการกำหนดธรรมชาติที่เป็นจริงในสมัยอยุธยา
ซึ่งบทบาทที่ชี้ขาดนั้นจะอยู่ที่อำนาจ อันเป็นอำนาจที่ต้องอยู่บนพื้นฐานของการผูกขาดพลังทางเศรษฐกิจและพลังทางการเมือง แม้ธรรมจะมีบทบาทก็อยู่ในระดับจำกัดทั้งในมิติของการบังคับใช้ แม้กรณี “เพชรแท้น้ำหนึ่ง” ในกฎมณเฑียรบาลบางบทที่บัญญัติให้ราษฎร์ทั่วไปคัดค้านหรือปฏิเสธการใช้พระราชอำนาจของพระเจ้าอยู่หัวซึ่งไม่ยุติธรรมหรือคราวทำโทสะจริต (บทที่ 106,113) เมื่อมองอีกด้านหนึ่งก็อาจแปลให้เป็นกฎหมายที่กำหนด “หน้าที่” ไม่ใช่ให้ “สิทธิ” แก่ราษฎร ขุนนางผู้มีจิตใจรักความเป็นธรรมโดยแม้ทัดทานเต็มที่แล้ว (ครบ 4 ครั้ง) หากมิฟังก็ต้องปฏิบัติตามพระราชอำนาจดังกล่าวอยู่ดี แม้จะขัดต่อความยุติธรรมเพียงใด คำถามที่ไม่มีคำตอบท้ายสุดคือ จะมีผู้กล้าหาญสักกี่คนหนอในยุคนั้นที่สามารถพิสูจน์สัจธรรมดังกล่าว ได้โดยมีโอกาสทูลทาน ครั้งที่ 2และครั้งที่ 3 ตามที่กฎหมาย “บังคับ” ให้กระทำตาม